กลยุทธ์ Anniversary Marketing

การที่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งจะสามารถอยู่เคียงคู่ลูกค้าและสังคมมาได้อย่างยาวนาน ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และ สามารถส่งมอบคุณค่าที่ดีๆ ให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การฉลองครบรอบปี (Anniversary) ของสินค้าแบรนด์ต่างๆ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทำเพื่อประกาศเป็นนัยว่าสินค้าหรือกิจการมีอายุเพิ่มมากขึ้นมาอีกหนึ่งปีเท่านั้น แต่ยังแฝงด้วยการสร้างการรับรู้ให้เกิดแก่ลูกค้าว่ากิจการนั้นอยู่เคียงคู่ลูกค้ามาอย่างยาวนานเพียงไร 

ตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นว่าสินค้าต่างๆ ได้นำกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย ลด แลก แจก แถม หรือส่งชิ้นส่วนชิงโชคมาใช้กันมาก เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา เพียงแต่จังหวะเวลาที่ใช้อาจจะต่างกันตามแต่ความเหมาะสมของกิจการนั้นๆ ส่งผลให้การทำตลาดในปัจจุบันแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย

ดังนั้น เมื่อกลยุทธ์ส่งเสริมการขายไม่ได้ผลเพราะทุกคนต่างทำเหมือนกัน แบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานจะมีความได้เปรียบเนื่องจากได้สั่งสมต้นทุนทางจิตใจจากลูกค้าเอาไว้มาก ไม่เฉพาะแต่เพียงยอดขายหรือส่วนแบ่งการตลาดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจจากลูกค้า ดังนั้น การหยิบยกเรื่องราวความเป็นมาของสินค้า (แบรนด์) มาเป็นตัวขับเคลื่อนการตลาดอย่าง กลยุทธ์ Anniversary Marketing จึงเป็นสิ่งที่คู่แข่งหน้าใหม่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้เลย

สินค้าบางแบรนด์ก็นำกลยุทธ์ Anniversary Marketing มาใช้ด้วยเหมือนกัน แต่ก็ใช้เพียงผิวเผินคือ ทำเพียงแค่ประชาสัมพันธ์ครบรอบปี เฉลิมฉลอง จัดกิจกรรมแล้วก็เสร็จ แต่ถ้าหากเราจะมองให้ลึกไปกว่านั้นควรถือโอกาสนี้สื่อสารกับลูกค้าโดยบอกเล่าความเป็นมาที่น่าสนใจ การเอาชนะอุปสรรคต่างๆ นานัปการกว่าที่จะสามารถมายืนอยู่ได้ อย่างเช่นทุกวันนี้ อาจจะทำผ่านรายการทีวี วิทยุ นิตยสาร สื่อโฆษณา หรือการจัดกิจกรรม โดยนำเรื่องราวของแบรนด์มาถ่ายทอดอย่างสร้างสรรค์น่าสนใจ ไม่พยายามยัดเยียดเนื้อหาเข้าไปตรงๆ จนทำให้ลูกค้ารู้สึกเบื่อ บางแบรนด์ใช้โอกาสนี้ในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์หรือปรับปรุงโฉมใหม่ของสินค้าหรือการบริการให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงการสื่อสารถึงวิสัยทัศน์ในอนาคตหรือ ทิศทางการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า

สำหรับแนวทางในการนำกลยุทธ์ Anniversary Marketing มาใช้นั้นมีหลากหลายวิธีตามแต่ผู้ประกอบการจะพิจารณาว่าแนวทางใดมีความเหมาะสม และน่าสนใจมากกว่ากัน ดังนี้ 

1. การจัดโปรโมชั่นฉลองครบรอบปี หรือโปรโมชั่นขอบคุณลูกค้า เป็นกลยุทธ์ที่เราๆจะคุ้นเคยกันมากจนเหมือนเป็นสูตรสำเร็จเมื่อวาระครบรอบมาถึง แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีถือเป็นการตอบแทนคืนสู่ลูกค้าผู้มีอุปการคุณ ที่คอยสนับสนุนให้กิจการมีความเจริญก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้หากกิจการใดจะนำวิธีนี้มาใช้ก็ควรมีการกำหนดรูปแบบที่แตกต่างกันในแต่ละปี เพิ่มลูกเล่นหรือสีสันใหม่ๆ เข้าไปด้วยให้น่าสนใจยิ่งขึ้น อย่าใช้แค่การจัดลดราคา แถมสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว ยิ่งไปกว่านั้นการจัดแคมเปญโปรโมชั่นนี้จะต้องมั่นใจว่า ‘แรง’ และได้รับความสนใจจากลูกค้า มิเช่นนั้นก็จะเป็นการเสียงบประมาณไปอย่างน่าเสียดาย

ตัวอย่างเช่น บะหมี่ไวไว จัดแคมเปญ ‘ไวไว แจกก้อนบะหมี่ทองฉลองครบรอบ 36 ปี’ ซิสเลอร์มอบโชคฉลองครบรอบ 50 ปี หรืออย่างร้านอาหารสีฟ้าคืน กำไรให้ลูกค้าในการฉลองครบรอบ 72 ปี ร่วมลุ้นแลกซื้ออาหารในราคาพิเศษจานละ 3,5 และ 7 บาท เป็นต้น

2. การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม หรือใช้ภารกิจเพื่อสังคมที่บริษัทได้กระทำอยู่แล้วตอกย้ำให้เด่นชัดขึ้นเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบปี เพื่อแสดงให้เห็นถึงการตระหนักในจิตสำนึกต่อสังคม ส่วนรวม และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร เช่น ไอบีเอ็ม จัดงานฉลองครบรอบ 100 ปี (Celebration of Service) รวมพลังพนักงานปัจจุบัน พนักงานที่ เกษียณอายุ และพันธมิตร จำนวนกว่า 300,000 คนจากทั่วโลก อุทิศเวลา และความรู้ เพื่อช่วยเหลือชุมชน และสังคมทั่วโลก

3. การนำสังคมออนไลน์ให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วม เนื่องจากปัจจุจันจำนวนลูกค้าที่เข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมออนไลน์เพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด บางกิจการที่มีช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าผ่านทางสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือยูทูบ ก็มีการจัดกิจกรรมให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกเพื่อชิงรางวัลเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบนี้ด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจผ่านทางสังคมออนไลน์

4. การจัดกิจกรรมสำหรับกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะ เป็นการนำเสนอกิจกรรมพิเศษที่จะจัดขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าของกิจการโดยเฉพาะ ไม่สามารถหาได้ที่ไหนอีกแล้ว เพื่อเป็นการตอกย้ำในการเป็นสาวกของแบรนด์นั้นๆ ให้เกิดความรู้สึกพิเศษ แตกต่าง และเป็นคนสำคัญ เช่น การฉลองครบรอบ 50 ปีของรถมินิ ด้วยการจัดงาน MINI United 2009 ณ สนามแข่งรถซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ รวมพลคนรักมินิกว่า 25,000 คนจาก 40 ประเทศทั่วโลก

5. การตอกย้ำคุณภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยอาศัยโอกาสในการใช้ Anniversary Marketing เพื่อสื่อสารให้ลูกค้าเชื่อมั่นและมั่นใจในคุณภาพ จากอดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยเปลี่ยนแปลง มุ่งปฏิบัติตามจุดยืนเดิมที่ได้ให้ไว้กับลูกค้าเสมอมา อย่างเช่น กรณีของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันฉลองครบรอบ 120 ปี ที่ต้องการตอกย้ำให้ลูกค้าได้ มั่นใจกับแบรนด์มากขึ้นว่าไม่เคยเปลี่ยนแปลงในกลิ่น หรือส่วนผสมดั้งเดิมให้คงความคลาสสิกตลอดระยะเวลา 120 ปี

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญของ Anniversary Marketing ยังสามารถสะท้อนหรือบ่งบอกถึงความหมายบางอย่าง หากนำมาใช้ในการสื่อสารอย่างจริงจังในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพราะจำนวนตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งต่างๆมากมาย ทั้งความมั่นคง ความเข้มแข็งในการดำเนินกิจการ หรือความเชื่อมั่นศรัทธาจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง 

ในการฉลองครบรอบนี้ไม่ได้สื่อสารไปถึงลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรทุกๆฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานภายในองค์กรเอง ซัพพลาย เออร์ ดีลเลอร์ ตัวแทนจำหน่าย หรือหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์กร เพื่อแสดงออกถึงความสำเร็จขององค์กรหรือกิจการโดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้ประสบความสำเร็จอย่างเช่นในวันนี้ 

คำสอนจาก ‘นายห้างเทียม โชควัฒนา’
“เป็นร่มเงา ให้ประโยชน์สุข”
ต้นไม้ของเราจะให้ประโยชน์เต็มที่ก็ต่อเมื่อต้นไม้นั้นให้ร่มเงาแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย
และให้ผลสุกงอมเพื่อประทังชีวิตแก่ผู้ยากไร้
(นายห้างเทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้ง ‘เครือสหพัฒนพิบูล’)

ขอบคุณ : นิตยสาร SME Thailand

เทรนด์ 2012 ไปในทิศทางใด?

“เทรนด์” ดูเหมือนมีอิทธิพลต่อทุกวงการในทุกยุคสมัย เพราะเป็นตัวกำหนดให้เห็นถึงความเป็นไปของความนิยมชื่นชมในรูปแบบหนึ่งใน ช่วงเวลานั้นๆ อยากรู้ไหมว่าในปี 2555 กระแสเทรนด์หลักๆ ที่มีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลกจะเป็นไปในทิศทางใด และธุรกิจของคุณจะใช้ประโยชน์จากเทรนด์เหล่านี้ได้อย่างไร

ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ได้ขมวดกระแสเทรนด์ปีหน้าจากนิตยสารต่างประเทศ 16 เล่มควบคู่กับประสบการณ์ของนักออกแบบ ผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ การคลุกคลีกับนักเรียนนักศึกษา รวมถึงข้อมูลข่าวสารการออกแบบและธุรกิจสร้างสรรค์ พบว่าเทรนด์หลักปีหน้าจะอยู่บนพื้นฐาน 5 แนวคิดหลัก ประกอบด้วย ความธรรมดานิยามใหม่, คิดบวก, ธรรมชาติ, ความคิดสร้างสรรค์และวัฒนธรรมพื้นถิ่น

5 เทรนด์หลักแห่งปี 2555 จะมีอิทธิพลต่อการออกแบบแฟชั่น เทคโนโลยี วัสดุ สี พื้นที่และการใช้ชีวิตของผู้บริโภค ที่นักออกแบบต้องเข้าใจเพื่อให้เกิด “ไอเดีย” ในการต่อยอด

5 เทรนด์เจาะโลก

“ความธรรมดานิยามใหม่” เป็นการใช้ชีวิตคืนกลับสู่ความเรียบง่าย เป็นความรู้สึกสมดุล เปรียบกับคนอายุ 40 ซึ่งมีเป้าหมายที่แน่นอน สินค้าหรือบริการที่สอดรับคนที่มีแนวคิดนี้ จะต้องเน้นเรื่องของประโยชน์ใช้สอยควบคู่ไปกับความสวยงาม  และไม่นิยมสินค้าที่มีความซับซ้อนในการใช้งาน ยกตัวอย่าง วิทยุในห้องน้ำของมูจิ เพียงปุ่มปรับเสียงเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น

กลุ่มคนที่มีแนวคิดนี้ยอมรับว่า เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แต่ “ไม่ใช่”ทุกอย่างในชีวิต การออกแบบสินค้าต้องให้ทั้งความสวยงามและประโยชน์ ใช้สอยในชีวิตประจำวันได้จริง

“คิดบวก” เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น และให้ความสำคัญกับสังคมมากขึ้น เน้นเรื่อง “จิตใจ” และไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง ส่วนเทคโนโลยีต้องเข้าถึงง่ายขึ้น ยกตัวอย่าง ไอแพด ไอโฟน ที่นำระบบทัชสกีนเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มเป้าหมาย ล่าสุดธนาคารแห่งหนึ่งในสเปนถึงกับออกมาแบบตู้เอทีเอ็มหน้าจอทัชสกีน เพื่อบริการลูกค้า

“ธรรมชาติ” ถ้าเป็นแฟชั่นมักเล่นกับสีสันรูปทรงธรรมชาติ รวมถึงการรีไซเคิล  เช่น กล่องรองเท้าพูม่าที่ใช้กล่องกระดาษมาพับแทนการปิดกาว ซึ่งสามารถใช้เป็นถุงขยะ หรือปลูกต้นไม้ได้อีกด้วย ถือเป็นวิธีคิดในการลดปริมาณขยะได้อย่างเป็นระบบ

“ความคิดสร้างสรรค์” เป็นพื้นฐานของพลังที่ขับเคลื่อนวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ไร้เดียงสา กล้า ท้าทาย ที่ก้าวออกนอกกรอบ จุดประกายให้นักออกแบบสร้างสรรค์งานผ่านผลิตภัณฑ์ วัสดุ หรือรูปแบบการทำธุรกิจแบบใหม่ที่มีความเป็นอิสระ ยกตัวอย่าง การแปลงสภาพรถเทรลเลอร์มาเป็นแฟชั่นบูติกเคลื่อนที่ขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ และงานศิลปะ

“วัฒนธรรมพื้นถิ่น” จากความหลากหลายที่ทำให้ผู้คนขาด “อัตลักษณ์” ย้อนกลับไปใส่ใจในรากเหง้า ย้ำคำว่าเอกลักษณ์ให้ชัดเจน รู้สึกชื่นชอบงานทำมือ ศิลปะแบบชนเผ่า มาสร้างเป็นรูปลักษณ์ใหม่ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมสมัยใหม่

ทำไมต้องอิงเทรนด์

“เทรนด์มีไว้ให้ต่อยอด ไม่ได้มีไว้ให้ทำตาม และไม่มีอะไรผิดอะไรถูก” มุมมองของเทรนด์จาก ธีระ ฉันทสวัสดิ์ ดีไซเนอร์ผู้คร่ำหวอดในวงการแฟชั่นมากกว่า 10ปี มีผลงานเป็นที่ยอมรับบนรันเวย์โลก และเจ้าของแบรนด์ T-RA
เทรนด์สำคัญหรือไม่สำคัญขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน สำหรับคนทำธุรกิจถือว่าสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย  แต่บางแบรนด์อาจมีภาพพจน์แข็งแกร่งอยู่แล้ว สามารถสร้างเทรนด์ของตนเองขึ้นมา เพราะมีสาวกคอยติดตามเทรนด์อยู่แล้ว
เทรนด์แต่ละปีของนิตยสารแต่ละสำนัก จะถูกสื่อสารไปยังที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตผ้า เครื่องหนัง บางครั้งดีไซเนอร์ไม่ได้คิดคอลเลคชั่นตามเทรนด์  แต่ใช้วัตถุดิบซึ่งเจ้าของวัตถุดิบผลิตตามเทรนด์ออกมาจำหน่าย จึงเหมือนกับว่า ดีไซเนอร์ผลิตผลงานตามเทรนด์ ทั้งยังมีการผสมผสานเทรนด์มากกว่าทั้งแบบทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ

เคล็ดลับสู่รันเวย์

เจ้าของแบรนด์ T-RA แนะนำให้ผู้ที่ใช้ประโยชน์จากเทรนด์ ศึกษาลงลึกในรายละเอียดของทั้ง 5 เทรนด์ตามที่ทีซีดีซีกลั่นออกมาว่า เทรนด์ไหนที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของตนเอง หรือเทรนด์ไหนที่โดนใจสำหรับสร้างสรรค์ผลงาน  แต่ทั้งนี้ต้องอย่าลืมมองถึงโอกาสหรือความเป็นไปได้

เมื่อค้นพบแนวที่สนใจแล้วบังเอิญมีผู้ทำอยู่แล้ว ควรจะหลีกเลี่ยงที่จะเดินตาม หรือพยายามหาข้อมูล ดูคีย์เวิร์ดแต่ละหัวข้อที่เกี่ยวเทรนด์นั้น แล้วนำมาผสมผสานเป็นคอลเลคชั่นของตนเองที่สร้างสรรค์ขึ้นมา ยกตัวอย่าง ถ้าเลือกที่จะทำเทรนด์เกี่ยวกับวัฒนธรรมพื้นถิ่น จะต้องหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น รายละเอียดแบบเสื้อแนวชนเผ่า

“แต่ไม่แนะนำให้คนที่เคยทำแฟชั่นแนวเรียบๆ จะโดดมาทำแนวความคิดสร้างสรรค์ เพราะโอกาสประสบความสำเร็จน้อย ถ้าครีเอทได้ไม่แรงพอ” นี่คือสูตรสำเร็จของดีไซเนอร์ชั้นนำของ T-RA

 

source: bangkokbiznews

แอปเปิลยิ้มร่าสิ้นปีกำไรอย่างเดียวเหยียบ 2 แสนล้าน!

บริษัทที่มีแบรนด์หนึ่งในใจคนทั่วโลกอย่าง “แอปเปิล” ได้เผยยอดตัวเลขเงินจริงที่ได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ พบว่ากำไรอย่างเดียว 1.9 แสนล้านบาท จากยอดรายได้สุทธิ 8.1 แสนล้านบาท

และผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของแอปเปิล มีดังนี้…

1. ไอโฟน
2. ไอแพด
3. แมคบุ๊ค
4. ไอแมคคอมตั้งโต๊ะ
5. ไอพอด

เฉพาะไอโฟนอย่างเดียว ไตรมาส 4 ขายได้ 17.1 ล้านเครื่อง

และจากกราฟนี้ทำให้เห็นว่าผลิืตภัณฑ์ที่มีอนาคตมากที่สุดก็คือ ไอแพด เพียงรอวันที่ยุคแห่ง Post-PC มาถึงอย่างเป็นทางการจริง เพราะเพียงแค่ 2 ปี

[via arstechnica]

Google Sim บุกยุโรป!

Samsung, HTC, LG, Nokia ดูเหมือนจะไม่ใช่คู่แข่งที่ต่อกรกับกูเกิลได้อีกต่อไปแล้ว
เพราะวันนี้แม้แต่แอปเปิลยังตามไม่ทัน!!!

เพราะนอกจากกูเกิลจะทำระบบปฏิบัติการมือถือ “แอนดรอยด์” ที่วันนี้พัฒนาไปจนถึงรุ่นที่ 4.0 ให้รองรับกับทั้งมือถือและแท็ปเบล็ตพีซีได้แล้ว ทั้งยังขายเครื่องมือถือของตัวเองแบรนด์ Nexus แล้ว ที่ยุโรป กูเกิลกำลังทำตัวเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือแบบเสมือนจริงหรือ MVNO (Mobile Virtual Opeator Network) อีกด้วย โดยที่แรกที่มี “ซิมกูเกิล” คือ สเปน และใช้ชือเครือข่ายว่า “Google ES”

และนี่คือหน้าตาของซิมสีรุ้งจากกูเกิล ที่พนักงานกูเกิลได้มาพร้อมกับมือถือ Nuxus S

กล่าวคือ กูเกิลไม่ต้องเสียเวลาไปติดตั้งสถานีฐานเหมือนค่ายมือถือดั้งเดิม แต่สามารถขอรับสัมปทานเบอร์จากค่ายมือถือหลัก แล้วเอาเบอร์นั้นมาทำการตลาดเอง เช่น ในเมืองไทยค่ายแอร์เอเชียก็ทำซิม Tunetalk โดยมีโปรโมชั่นเบสิกคือ ยิ่งเติมเงินในซิมมาก ก็จะเอาไปแลกค่าตั๋วเครื่องบินของแอร์เอเชียได้มากเท่านั้น หรือห้างค้าใหญ่อย่างเทสโต้ ที่เมืองนอกเค้าทำระบบ MVNO ก็นำมาใช้ในไทยเช่นกัน โดยมีซิมเทสโก้ ที่จับมือกับ One-2-Call ยิ่งซื้อของมาก จะได้เอาแต้มจากการซื้อของมาเติมเงินมือถือได้

และแน่นอนว่าหากโมเดลนี้สำเร็จในยุโรป กูเกิลก็จะเอามาปรับใช้กับลูกค้าในอเมริกา และที่อื่นๆ ในโลกต่อไป

[via 9to5google]

Google บุกจีนอีกครั้งด้วยบริการค้นหาดีล!

หลังจากชื่อ “กู่เกอ (谷歌)” หรือชื่อเรียกของกูเกิลในภาษาจีนกลางกลายเป็นตำนานในช่วงระหว่างสูญญากาศที่ กูเกิลถอนตัวจากจีนแผ่นดินใหญ่ และปล่อยให้โดเมน http://www.google.cn ลิงก์ไปยังหน้า http://www.google.hk แทนเป็นแรมปี

ล่าสุดความพยายามบุกตลาดจีนครั้งใหม่ของกูเกิลก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งด้วยการเปิดบริการ “ฉือฮุ่ย (实惠)” ที่เป็นเว็บรวมเอาดีลจากทุกเว็บดีลในจีนมารวมตัวกันเพื่อให้ค้นหาได้ง่ายๆ

หน้าเว็บจะมีฟีเจอร์ให้ค้นหาดีลแยกตามชื่อเมืองใหญ่ๆ ไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว ฯลฯ ทั้งยังแบ่งตามประเภทดีล ราคา และเปอร์เซ็นต์ของส่วนลดอีกด้วย หรือหากใครจะตรงดิ่งไปใช้ช่องค้นหาก็สามารถทำได้หมด และเมื่อคลิกที่ลิงก์ใด ก็จะตรงไปยังเว็บดีลเหล่านั้นทันที

ถือว่าครั้งนี้กูเกิลถนอมตัวมากที่ไม่เอาบริการ Google Offers (บริการขายดีลของกูเกิล) มาลงที่จีน เพราะเว็บดีลในแดนมังกรตอนนี้เข้าสู่ธุรกิจทะเลสีเลือดไปแล้วด้วยตัวเลขเว็บ ดีลที่พุ่งถึง 4,000 เว็บ และเหตุผลอีกประการก็คือ การได้เรียนรู้จากเว็บ gaopeng.com หรือ กรุ๊ปปองเวอร์ชันจีนที่เปิดแล้วมีแต่แป๊กกับแป๊ก ทั้งยังต้องปลดพนักงานมากมาย

แต่คุณสงสัยหรือไม่ ทำไมบริการนี้ถึงเปิดได้ในจีน นั่นก็เพราะมันเกี่ยวกับอี-คอมเมิร์ซเท่านั้น รัฐบาลจีนจึงอนุญาตปล่อยผ่านได้!

Twitter Releases Web Analytics Tool วิเคราะห์ความฮอตเว็บคุณในอาณาจักรของทวิตเตอร์

หลังจากทีมงาน Twitter เข้าซื้อเว็บ BackType เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ก็ได้มีผลงานเด่นเกิดเป็นระบบ “Twitter Web Analytics” หรือระบบที่ทำให้ผู้จัดทำเว็บไซต์ทราบได้ว่ามียอดการคลิกเข้าชมเว็บไซต์จาก ทวิตเตอร์ล้นหลามขนาดไหนในแต่ละวัน และที่ผ่านมาจากการสรุปสถิติจากทีมงานทวิตเตอร์ว่า มีการคลิกลิงก์ 100 ล้านครั้งบนหน้าบนโลกไซเบอร์ และ 95% มีที่อยู่เว็บว่า T.co. ซึ่งก็คือลิืงก์ที่โพสต์ผ่านระบบของเว็บทวิตเตอร์นั่นเอง!

ที่หน้า Twitter Web Analytics เว็บมาสเตอร์จะได้ทราบข้อมูลต่างๆ ได้แก่

* ทราบได้ว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์ถูกแชร์ไปอย่างไรบ้างอาณาจักรของทวิตเตอร์
* ดูว่ามียอดเข้าชมเว็บมากขึ้นแค่ไหนจากคลิกของเหล่าสมาชิกทวิตเตอร์
* วัดได้ว่าปุ่ม “ทวีต” ที่ติดบนเว็บมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน

———————–

How much traffic does your website receive from Twitter? Twitter Web Analytics, a new tool announced Tuesday, should help provide some clarity to website owners who rely on the information network for content distribution.

Twitter Web Analytics is intended to give website owners more data on the effectiveness of their Twitter integrations. It’s powered by BackType, the social analytics company that Twitter acquired in July.

Twitter Web Analytics, explains BackType founder and new Twitter platform staffer Christopher Golda, will help publishers and website owners understand three key things: How much of their content is being shared on Twitter, how much traffic Twitter is sending their way and how well Tweet Buttons are performing.

The tool is free and currently in beta. A small group of partners will gain access to Twitter Web Analytics this week, and Twitter will roll it out to all website owners in a few weeks. An API will also be released for developers.

ตรวจทัพ 10 แท็บเล็ตชนช้าง iPad

น่าสนใจเหลือเกินเมื่อในเวลาแค่ 3 วันช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โลกสามารถแจ้งเกิดแท็บเล็ตรุ่นใหม่สู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 10 รุ่น ทั้งหมดถูกเปิดตัวเอิกเกริกในงานมหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค IFA 2011 ซึ่งมีกำหนดจัดที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ตั้งแต่ 2-7 กันยายน 5

ความหมายของการพร้อมใจประจัญบานตลาดแท็บเล็ต ที่เกิดขึ้นคือการส่งสารท้าชิงยักษ์ใหญ่เจ้าตลาดอย่าง iPad ซึ่งสามารถครองตลาดส่วนใหญ่อยู่ในขณะนี้ การแจ้งเกิดของแท็บเล็ตบางรุ่นอย่าง IdeaPad A1 ถือเป็นสิ่งที่โหมไฟเรื่องสงครามราคาในตลาดแท็บเล็ตให้ลุกฮือ เพราะ IdeaPad A1 เปิดราคาที่ราว 200 เหรียญเท่านั้น ต่ำกว่าแอปเปิลที่ยังกำหนดราคาต่ำสุดของ iPad 2 ไว้ที่ 499 เหรียญ (ราว 15,000 บาท)

ยังมีแท็บเล็ตสไตล์ใหม่ฝาพับพกพาง่ายจากโซนี ซึ่งมีความหวังเข้าถึงคอเกมเพลย์สเตชันอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้ รวมถึงแท็บเล็ตลูกผสมสมาร์ทโฟนจากซัมซุงที่หวังเป็นตัวเลือกครบวงจรในชิ้น เดียว รวมถึงแท็บเล็ตพิมพ์นิยมอื่นๆที่มาพร้อมคุณสมบัติจุใจบนราคาที่หวังชนกับ iPad แทบทั้งสิ้น

***เอชทีซีส่งแท็บเล็ต 4G

HTC Jetstream คือแท็บเล็ต เทคโนโลยี 4G LTE/HSPA+ ตัวแรกของโอเปอเรเตอร์อเมริกัน AT&T ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย. 54 พ่วงด้วยดีกรีเป็นแท็บเล็ตรุ่นแรกของเอชทีซีที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 3.1 (Honeycomb) ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์แท็บเล็ตหน้าจอใหญ่โดยเฉพาะ

ตัว Jetstream พิเศษที่ชิปดูอัลคอร์ Snapdragon 1.5 GHz ชิปเจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งพัฒนากว่าชิปในแท็บเล็ตทั่วไปในท้องตลาด ใช้กล้องหน้าหลัง 1.3 และ 3 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 1080p จำหน่ายพร้อมแอปพลิเคชันอย่าง Adobe Flash Player รวมถึงนานาแอปฯ ด้านการนำทางและมัลติมีเดียของเอชทีซี สามารถรองรับหน่วยความจำไมโครเอสดีการ์ดสูงสุด 32GB

Jetstream หน้าจอ WXGA HD ขนาด 10.1 นิ้ว แบตเตอรี่ 7,300 mAh น้ำหนักเครื่อง 25 ออนซ์ (ราว 0.7 ก.ก. ) ราคา 699.99 เหรียญสหรัฐพร้อมสัญญา 2 ปี (ราว 21,000 บาท) คาดว่าจะโดนใจผู้ใช้ระดับเซียนที่ต้องการใช้แท็บเล็ตความเร็วสูงพิเศษบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ไม่ธรรมดา

***วิวโซนิคแจมแท็บเล็ต 3 สไตล์

ผู้ผลิตหน้าจอสัญชาติไต้หวันอย่าง ViewSonic โชว์แท็บเล็ต 3 สไตล์ชนิดปูพรมครบทุกกลุ่ม หนึ่งคือ Android 3.2 Honeycomb ขนาด 7 นิ้วในชื่อ ViewPad 7x อีกหนึ่งคือ ViewPad 10pro แท็บเล็ต 10 นิ้วที่สามารถใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) ได้บนชิป Oaktrail ของอินเทล และยังมีแท็บเล็ตสไตล์เครื่องอ่านอีรีดเดอร์ราคาประหยัดในชื่อ ViewPad 7e

ViewPad 7x หน้าจอ 7 นิ้วความละเอียด 1024 x 600 ระบบสัมผัส capacitive ชิปดูอัลคอร์ NVIDIA Tegra 2 มีกล้องดิจิตอลหน้าหลัง หน่วยความจำภายใน 8GB รองรับการใช้งาน GPS มาพร้อมส่วนติดต่อผู้ใช้ ViewScene 3D ที่บริษัทออกแบบเอง เตรียมวางขายเดือนก.ย.ในราคา 499 เหรียญสหรัฐเท่ากับ iPad

ViewPad 10pro ผู้ใช้สามารถใช้ทั้งระบบปฏิบัติการ Windows 7 Professional หรือ Android 2.3 Gingerbread ได้ตามชอบพร้อมการันตีว่าใช้งานสลับกันได้แบบไม่สะดุด วางจำหน่าย 5 ก.ย.นี้ ราคา 714 เหรียญ ส่วนรุ่นประหยัดอย่าง ViewPad 7e ยังไม่ เปิดเผยข้อมูลขนาดเครื่องในขณะนี้ โดยระบุเพียงว่าจะมาพร้อมหน้าจอสัดส่วน 4:3 ติดตั้งซอฟต์แวร์อ่านอีบุ๊กของอเมซอน Amazon Kindle มาด้วย แต่รองรับการเปิดเว็บไซต์และมัลติมีเดีย รวมถึงเครือข่ายข้อมูลไร้สายบลูทูธ กำหนดวางตลาดคือไตรมาส 4 ราคา 242 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7,300 บาท)

***เลอโนโวส่งแท็บเล็ต 199 เหรียญ

เลอโนโวใช้ IFA 2001 เป็นเวทีเปิดรายละเอียดแท็บเล็ตแอนดรอยด์ตัวใหม่ IdeaPad A1 เขย่าโลกด้วยราคาเปิดตัว 199 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,000 บาท เรียกความสนใจจคนในตลาดแท็บเล็ตถล่มทลาย

แท็บเล็ตราคาสบายกระเป๋านี้มาพร้อม Android 2.3 (Gingerbread) ไม่ใช่แอนดรอยด์เฉพาะทางสำหรับแท็บเล็ตโดยเฉพาะอย่าง Honeycomb ซึ่งมักใช้กับแท็บเล็ตที่มีราคาสูงกว่า ใช้หน่วยประมวลผล 1-GHz Cortex A8 กล้องดิจิตอลหลัง 3 ล้านพิกเซล หน้า 0.3 ล้านพิกเซล รับสัญญาณ GPS หน่วยความจำภายใน 2GB มีช่องเสียบ microSD card ซึ่งสามารถรองรับได้สูงสุด 32GB

หน้าจอ IdeaPad A1 มีความละเอียด 1024×600 พิกเซล ระบบทัชสกรีนแบบใช้นิ้วสัมผัส capacitive (ผิดจากแท็บเล็ตราคาต่ำทั่วไปที่ใช้หน้าจอสัมผัสแบบ resistive ซึ่งต้องใช้เล็บจิก) ตัวเครื่องหนา 0.47 นิ้ว น้ำหนัก 0.88 ปอนด์ หรือประมาณ 0.34 ก.ก. เตรียมวางตลาดกลางเดือนก.ย.นี้ มี 4 สีให้เลือก ดำ ฟ้า ขาว และชมพู

***โตชิบาลุยแท็บเล็ตบางเฉียบ

Toshiba AT200 ถูกเปิดตัวโดยโตชิบายุโรป ไม่ใช่โตชิบาสหรัฐฯหรือโตชิบาเวิร์ลไวด์ซึ่งทำให้ข้อมูลการจำหน่าย AT200 ในพื้นที่นอกยุโรปไม่ชัดเจน ข้อมูลเบื้องต้นคือ AT200 จะมีการพัฒนามากกว่าแท็บเล็ตรุ่นปัจจุบันของโตชิบาอย่าง Toshiba Thrive เพราะแทนที่จะมาพร้อมพอร์ตยูเอสบีเต็มรูปแบบรวมถึงการให้ช่องเสียบการ์ด SDXC แต่จะเปลี่ยนเป็นพอร์ต micro-USB, microSD และ micro-HDMI แทน

จุดเด่นของ AT200 คือความเบาและบาง น้ำหนัก 1.23 ปอนด์ (ราว 0.5 ก.ก. ) ความบาง 0.3 นิ้ว ชนะ Samsung Galaxy Tab 10.1 ซึ่งหนัก 1.25 ปอนด์ ความหนาเครื่อง 0.34 นิ้ว กำหนดการวางขายไตรมาส 4 ปีนี้

***ซัมซุงส่งแท็บเล็ตลูกผสม

หลายคนงงว่านี่คือสมาร์ทโฟนใหญ่พิเศษหรือแท็บเล็ตรุ่นเล็ก เมื่อซัมซุงชูธง Galaxy Note ในฐานะอุปกรณ์หน้าจอสัมผัสขนาด 5.3 นิ้ว โดยซัมซุงไม่ให้คำตอบว่านี่คืออุปกรณ์สายพันธุ์ไหน แต่ระบุว่าเป็นอุปกรณ์ที่แตกต่าง

แม้แท็บเล็ตลูกผสมหน้าจอ 5 นิ้วอย่าง Dell Streak 5 จะถูกเลิกทำตลาดไปแล้ว แต่ซัมซุงก็เชื่อว่า Galaxy Note จะเปิดตลาดใหม่ได้แน่นอน โดยย้ำชัดเจนว่า Galaxy Note จะไม่ทำตลาดในสหรัฐฯ แต่จะรุกตลาดพื้นที่อื่นแทน

เช่นเดียวกับ Galaxy Tab 7.7 ที่เปิดตัวในงานนี้แต่จะ ไม่มีแผนจำหน่ายในสหรัฐฯ นอกจากหน้าจอ Super AMOLED Plus ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซล (สูงสุดในตลาดแท็บเล็ต) ซัมซุงยังใช้หน่วยประมวลผลดูอัล 1.4GHz และ Android 3.2v Honeycomb ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าอักษร “v” นั้นย่อจากอะไร เบื้องต้นคาดว่าจะมีความบาง 0.31 นิ้ว บนความเบา 0.33 ก.ก. (0.75 ปอนด์)

***โซนีประกาศศึก

โซนีแจ้งเกิด 2 แท็บเล็ตสไตล์น่ามอง หนึ่งคือ Tablet S (หรือที่เคยได้ชื่อว่า S1) แท็บเล็ตรูปทรงกระดานชนวนสี่เหลี่ยมมาตรฐาน แต่ออกแบบให้ความหนา 2 ด้านไม่เท่ากัน เหมือนการนำนิตยสารมาม้วนลงด้านหนึ่งเพื่อให้สามารถถืออ่านด้วยมือเดียว และ Tablet P (หรือที่เคยเรียกว่า S2) แท็บเล็ตสองหน้าจอฝาพับที่มีจุดเด่นคือการใช้สองหน้าจอทำงานพร้อมกัน

Tablet S หน้าจอ TFT LCD ขนาด 9.4 นิ้ว ความละเอียด 1280 x 800 มีเทคโนโลยีลดแสงสะท้อน บนหน่วยประมวลผล NVIDIA Tegra 2 กล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 0.3 ล้านพิกเซล เชื่อมต่อง่ายด้วยช่องเสียบ SD Card มีพอร์ต Micro USB แบตเตอรี่ใช้นาน 8 ชั่วโมง สามารถใช้งานมัลติมีเดียแบบไม่สะดุด โซนีจะวางขาย 3 รุ่น คือ Wi-Fi 16GB, Wi-Fi 32GB และ Wi-Fi+3G 16GB ในเดือนก.ย.ราคาเริ่มต้น 499.99 เหรียญสหรัฐ

Tablet P จะทำให้ผู้ใช้อ่านอีเมลในจอด้านบน แล้วพิมพ์คีย์บอร์ดตอบที่หน้าจอด้านล่าง หรือสามารถเลือกให้ทั้งสองหน้าจอเปิดไฟล์หนังสือเพื่ออ่านอีบุ๊กแบบเต็มตา ได้ หน้าจอทั้ง 2 ด้านขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Ultra Wide VGA (1024×480 พิกเซล) ใช้หน่วยประมวลผล Tegra 2 กล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล ด้านหน้า 0.3 ล้านพิกเซล มีเฉพาะพอร์ต Micro USB และ Micro SD สามารถรองรับ Wi-Fi+3G บนหน่วยความจำ 4GB น้ำหนักเหมาะมือ 0.37 ก.ก. มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 3.2 คาดว่าจะเริ่มวางตลาดเดือน พ.ย. 54

 

HTC Jetstream

 

ViewPad 7x

 

ViewPad 10pro

 

ViewPad 7e

 

IdeaPad A1

 

Toshiba AT200

 

Galaxy Note

 

Galaxy Tab 7.7

 

Tablet S

 

Tablet P

 

เทรนด์ 2014 โน้ตบุ๊กโตสวนทิศพีซี ราคาไม่ถึงหมื่น-เบนเข็มสู่ตลาดโปร

*สงครามราคา จุดเปลี่ยนตลาดคอมพิวเตอร์ไทย
*เอเซอร์ vs ซัมซุงระบุตลาดโตสวนทิศทาง

*อีก 3 ปี โน้ตบุ๊กสู่ตลาดแมส สนนราคาไม่ถึงหมื่นบาท
*พีซี กลายเป็นตลาดไฮเอนด์ เจาะกลุ่มระดับ Professiona

นับเป็นปรากฏการณ์ในอนาคตของตลาดคอมพิวเตอร์ ที่กำลังปรับเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคและการเกิดใหม่ของการพัฒนา เทคโนโลยีที่ยุคปัจจุบันเข้าสู่ “สมาร์ทโฟน” อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะความสำเร็จของบรรดาโปรดักส์ตระกูล i ทั้งหลายตั้งแต่iPhone, iPad และ iPod ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไปยังโปรดักส์ดั้งเดิมอย่างโน้ตบุ๊ก หรือ พีซี ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

แน่นอนว่า ค่ายผู้ผลิตสินค้าดังกล่าว ต่างดิ้นรนปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีพร้อมๆ กับการเจาะตลาดถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีทิศทางและเจาะลึกมากขึ้น จึงไม่แปลกที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ได้ปรากฏให้เห็นแล้วในปัจจุบัน และในอนาคตอีก 2-3 ปีข้างหน้าพัฒนาการของสองตลาดอย่าง “โน้ตบุ๊กVSพีซี” ย่อมถึงจุดเปลี่ยนอย่างแน่นอน

ชี้ชัด 3 ปีโน้ตบุ๊ก
สวนทิศตลาดพีซี

ค่ายไทยร่วมค้า เดอะซิสเต็ม จำกัด ผู้ค้าส่งสินค้าไอทีรายใหญ่ ภายใต้แบรนด์ Advice ณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ กรรมการผู้จัดการและผู้เชี่ยวชาญด้านวงการไอทีกว่า 20 ปี วิเคราะห์ถึงตลาดโน้ตบุ๊กเมืองไทยว่า ตลาดโน้ตบุ๊กเมืองไทยจากนี้ไม่เกิน 3 ปีข้างหน้าระดับราคาขายจะไม่ถึงหมื่นบาท และกลายเป็นแมสโปรดักส์ ซึ่งแตกต่างจากการทำตลาดในยุคแรกๆ ที่โพซิชั่นของโน้ตบุ๊กเป็นสินค้าราคาระดับไฮเอนด์ มีราคาสูงระดับ 30,000 บาทขึ้นไป

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากหลายแบรนด์ในตลาดทำสงครามราคา ประกอบกับแท็บเลต และเน็ตบุ๊กเข้ามาในตลาด สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ความสะดวกในการพกพา การทำงานที่ไร้ขีดจำกัด เชื่อมต่อได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งเป็นสินค้าที่มาแชร์ตลาดโน้ตบุ๊ก ทำให้การแข่งขันด้านราคา และการสร้างระดับราคาใหม่จึงเกิดขึ้น

สำหรับเครื่องพีซีในครัวเรือน จะเห็นว่า ผู้บริโภคซื้อน้อยลงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊ก เพราะราคามีความใกล้เคียงกัน แต่ข้อจำกัดของพีซีมีมากกว่า ความนิยมของผู้บริโภคจึงเลือกใช้งานโน้ตบุ๊ก ทำให้โน้ตบุ๊กเองยิ่งมีราคาถูกลงเรื่อยๆ กลายเป็นสินค้าแมส

จากแนวโน้มดังกล่าวนี้เอง ไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า ราคาโน้ตบุ๊กจะไม่ถึงหมื่นบาทอย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านี้ ตลาดพีซีที่เคยอยู่ในตลาดแมส ระดับราคาหมื่นต้นๆ จะเบนเข็มไปยังตลาดไฮเอนด์ หรือตลาด Professional ในราคาหลายหมื่นบาท เพื่อโฟกัสไปยังกลุ่มใช้งานอาชีพที่ต้องการ Infrastructure สูงๆ ทำให้สัดส่วนในตลาดเปลี่ยน โน้ตบุ๊กจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 90% และอีก 10% เป็นตลาดพีซี

เอเซอร์ชี้โน้ตบุ๊กเบ่งบาน
ในตลาดแมส

ด้าน ค่ายเอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด ยักษ์ใหญ่ในตลาดโน้ตบุ๊ก โดย นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด วิเคราะห์ว่า มีความเป็นไปได้แน่นอนที่ราคาโน้ตบุ๊กจะไม่ถึงหมื่นบาทในรุ่นเบสิกโมเดล ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นเทรนด์โลก เนื่องจากตลาดโน้ตบุ๊กราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ที่ระดับราคาหมื่นกลางๆ แตกต่างจากยุคแรกของการทำตลาดโน้ตบุ๊กที่ราคา 30,000-40,000 บาท เป็นตลาดระดับไฮเอนด์ ที่ลูกค้ามีกำลังซื้อสูง

ทิศทางของโน้ตบุ๊กในขณะนี้ออกมาสู่ตลาดแมส และเติบโตได้ดีในตลาดระดับนี้ การใช้งานสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุม และหลากหลาย ขณะเดียวกัน Desktop หรือพีซี กลับเติบโตสวนทางกับโน้ตบุ๊กที่เคยมีระดับราคาหมื่นต้นๆ จะโฟกัสไปยังตลาดไฮเอนด์ หรือเจาะกลุ่มระดับ Professional หรือกลุ่มผู้ใช้งานกราฟิกและ Infrastructure สูงๆ แทน

ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากตลาดพีซีค่อนข้างซบเซา ด้วยข้อจำกัดหลายประการทำให้ผู้บริโภคนิยมการใช้โน้ตบุ๊กมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบระดับราคาที่พอๆ กัน ทำให้ผู้ทำตลาดพีซีเองจึงเบนเข็มไปทำตลาด Professional แทน เพราะบางกลุ่มสาขาอาชีพ อย่างทำกราฟิกเกมออนไลน์ ยังต้องพึ่งพาการใช้งานพีซีอยู่ เพราะโน้ตบุ๊กไม่สามารถตอบสนองความต้องการใช้งานดังกล่าวได้

นิธิพัทธ์ กล่าวถึงการทำตลาดสอดรับเทรนด์ดังกล่าวว่า เอเซอร์เล็งเห็นแนวโน้มเทรนด์ดังกล่าวมาสักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งก็ได้ทำรุ่นเบสิก และรุ่นที่ตอบสนองตลาดในระดับราคาหมื่นต้นๆ ซึ่งหากเทรนด์ตรงนี้อีก 3 ปีข้างหน้ามีความชัดเจนก็คงจะนำเสนอโมเดลที่รับตลาดและเทรนด์ดังกล่าว

ซัมซุงเห็นพ้อง
ตลาดเปลี่ยนทิศ

ด้าน ค่ายไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด วรวัชร์ จิตต์หรรษา ผู้จัดการผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก เห็นพ้องกับแนวโน้มตลาดที่เกิดขึ้นว่า ปัจจุบันโน้ตบุ๊กมีสัดส่วนตลาดอยู่ที่ 70% ขณะที่พีซีอยู่ที่ 30% ซึ่งหากวิเคราะห์จากแนวโน้มดังกล่าว เห็นแล้วว่าตลาดโน้ตบุ๊กเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยระดับราคาที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ในสนนราคาปัจจุบันอยู่ที่ระดับหมื่นต้นๆ บางแบรนด์ในตลาดขยับราคาไม่ถึงหมื่นแล้วในรุ่นเบสิกโมเดล และบางรุ่นที่ตกรุ่นไปแล้ว โดยทำเป็นลักษณะโปรโมชั่นร่วมกับโมเดิร์นเทรด ซึ่งไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2557 โน้ตบุ๊กจะกลายเป็นแมสโปรดักส์แน่นอน สวนทางกับเครื่องพีซีที่โฟกัสตลาดใหม่ไปยังกลุ่มตลาดไฮเอนด์ หรือกลุ่มโปรเฟสชันนัล

สำหรับซัมซุงปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดโน้ตบุ๊กเป็นอันดับ 3 ซึ่งเราก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน รวมถึงเมื่อเทรนด์ออกมาเป็นลักษณะนี้ ซัมซุงเตรียมรุ่นเบสิกโมเดลในระดับราคาหมื่นบาท เพื่อรองรับตลาดดังกล่าวเช่นเดียวกันเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางของซัมซุงที่ เน้นตอบสนองความต้องการลูกค้าในทุกเซกเมนต์ตลาด

“สำหรับโน้ตบุ๊กไม่ถึงหมื่นบาท คงจะทำออกมาในตลาดที่เปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจน และทำในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับเซกเมนต์อื่นๆ”
“สวยซ่อนแกร่ง” สายพันธุ์ใหม่
จุดขายโน้ตบุ๊กแบรนด์เอเซอร์

ค่ายเอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด ผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดคอมพิวเตอร์โดยรวมในประเทศไทย โชว์โน้ตบุ๊กสายพันธุ์แกร่งรุ่นใหม่ล่าสุด Acer TravelMate 8481 Series เน้นความแข็งแกร่ง กับดีไซน์บางเฉียบเพียง 18 มิลลิเมตร และกลุ่มคอมเมอร์เชียลใหม่ยกชุดกว่า 10 ซีรีส์ ทั้งพีซี โน้ตบุ๊ก ออลอินวัน และล่าสุดกับแท็บเลตรองรับ 3G รุ่นล่าสุด

“ปัจจุบันนี้พฤติกรรมคนส่วนใหญ่รวมถึง พนักงานในองค์กรธุรกิจ มักนิยมใช้เวลากับอุปกรณ์โมบิลิตี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก แท็บเลต เป็นต้น เพื่อใช้ในการเข้าถึงเว็บไซต์ การค้นหาข้อมูล และเชื่อมต่อโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ซึ่งการใช้งานดังกล่าวในระดับองค์กรก็ไม่ต่างกัน และได้มาถึงจุดที่ความต้องการใช้งานและเทคโนโลยีผสานกันอย่างลงตัวที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็วอินเทอร์เน็ต บรอดแบนด์ในระบบ 3G ผนวกเข้ากับอุปกรณ์โมบิลิตี้ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ที่สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างพรั่งพร้อม และนี่คือจุดที่เอเซอร์ในฐานะผู้นำตลาดคอมพิวเตอร์คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้ กับลูกค้า” ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์คอมเมอร์เชียล บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด บุญชัย ดำรงวงศ์สกุล กล่าว

ดังนั้น เอเซอร์เน้นพัฒนานวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มคอมเมอร์เชียล โดยเฉพาะความต้องการในเรื่องของสมรรถนะ ความปลอดภัย อายุการใช้งานเครื่องและแบตเตอรี่ที่ยาวนาน เหมาะกับการทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา ในสภาพแวดล้อมทั้งในและนอกสถานที่ พร้อมผนวกโซลูชั่นที่มาพร้อมกับตัวเครื่อง ทั้งส่วนของการบริหารจัดการข้อมูล การตั้งค่าที่สะดวกและง่ายดาย รวมถึงระบบป้องกันความปลอดภัยของเครื่องโน้ตบุ๊กและพีซีด้วยโปรแกรม Acer Pro Shield Security ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่พัฒนามาให้ลูกค้าเอเซอร์โดยเฉพาะ ล่าสุด ได้นำโน้ตบุ๊กสายพันธุ์แกร่ง Acer TravelMate 8481 Series หน้าจอ 14 นิ้ว วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 26,900 บาท (ราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ในกลุ่มคอม เมอร์เชียลอีกกว่า 10 ซีรีส์ แบ่งเป็น โน้ตบุ๊ก 3 ซีรีส์ ได้แก่ ทราเวลเมท ซีรีส์ 4, ซีรีส์ 6 และซีรีส์ 8 ส่วนเดสก์ทอปมีทั้งหมด 5 ซีรีส์ ได้แก่ เอ็ม ซีรีส์, เอส ซีรีส์, เอ็กซ์ ซีรีส์, แอลซีรีส์ และเอ็น ซีรีส์ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมเพื่อยืดอายุการใช้งานของเมนบอร์ดเพิ่มขึ้น 50% หรือประมาณ 100,000 ชั่วโมง พร้อมด้วยโซลูชั่น Veriton Control Center ช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถตั้งค่าระบบ และตรวจเช็กการทำงานของพนักงาน รวมถึงการโอนถ่ายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีระบบ Acer System Management หรือ ASM ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ฝ่ายไอทีบริหารจัดการระบบได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

ด้านผลิตภัณฑ์ออลอินวันเดสก์ทอปแบ่งเป็น 2 ซีรีส์ ได้แก่ แซส 4 ซีรีส์ หน้าจอขนาด 21.5-23 นิ้ว และแซส 2 ซีรีส์ ขนาดหน้าจอ 18-20 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีแท็บเลตที่มากับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ได้แก่ ICONIA TAB W500 และใหม่ล่าสุดกับ ICONIA TAB W501 ผนวกความแรงด้วยระบบ 3G

นอกจากนี้ยังมีศูนย์ให้บริการเอเซอร์แคร์ และบริการลูกค้าถึงสถานที่ทั่วประเทศ โดยในต่างจังหวัดมีศูนย์บริการภาคด้วยการจับมือกับพาร์ตเนอร์เพื่อให้บริการ ลูกค้าอย่างทั่วถึง และการรับประกันสินค้าภายในประเทศ 3 ปีเต็ม นอกประเทศ 1 ปี พร้อมประกันภัยสินค้าหากถูกโจรกรรม และจากภัยพิบัติต่างๆ 1 ปีเต็ม

รายงานจากไอดีซี ระบุว่า ปัจจุบัน เอเซอร์มีส่วนแบ่งการตลาดพีซีโดยรวม 26% โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มคอมเมอร์เชียลของเอเซอร์ โน้ตบุ๊กมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 22% และเดสก์ทอป 16% มีลูกค้า 2 กลุ่ม ได้แก่ ภาครัฐ และองค์กร เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต ธนาคาร สื่อสาร และภาคการศึกษา เป็นต้น โดยเอเซอร์คาดว่าส่วนแบ่งตลาดคอมเมอร์เชียลในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 20% สำหรับเดสก์ทอป และ 25% สำหรับโน้ตบุ๊ก ในช่วงไตรมาสแรกปี 2011

Product Upgrade เทรนด์ใหม่ ผู้บริโภคเครื่องใช้ไฟฟ้ายุค 2012

Product Upgrade เทรนด์ใหม่ ผู้บริโภคเครื่องใช้ไฟฟ้ายุค 2012

จากการวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมผู้ บริโภคเครื่องใช้ไฟฟ้าหลักภายในบ้าน หรือ Major Home Appliance (HA) ในยุค 2012 อันประกอบด้วย “ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และไมโครเวฟ” ของค่ายจีเอฟเค รีเทล แอนด์ เทคโนโลยี ประเทศไทย จำกัด บริษัทวิจัย และทำการสำรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าในส่วนรีเทล ระบุว่า พฤติกรรมผู้บริโภคยังคงเลือกซื้อสินค้าที่แบรนด์และคุณภาพ ภายใต้แนวคิด Product Upgrade ที่เน้นเลือกซื้อสินค้าที่มีฟังก์ชั่นการทำงาน รูปลักษณ์ ขนาด และให้คุณภาพสูงกว่า ทดแทนของเดิมที่เคยใช้งานอยู่

ทั้งนี้ จีเอฟเค ยังคาดการณ์ภาพรวมธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในปีหน้า ว่าจะมีการเติบโตจากปัจจัยบวกหลายประการ อาทิ การได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำงาน ทำให้การเดินหน้านโยบายบริหารประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจจะมีทิศทางที่สดใสมากขึ้น ราคาพืชผลทางการเกษตร อันเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ดีด้านกำลังซื้อ

กลุ่มตู้เย็น ปีนี้จะเห็นว่าการอัปเกรดตู้เย็นสองประตูจากไซส์เล็กไปสู่ไซส์ใหญ่มีปริมาณ สูงขึ้นถึง 100% ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเลือกซื้อตู้เย็นของผู้บริโภคในปี 2012 จะมีการทดแทนสูง (Replacement) จากตู้เย็นประตูเดียว ไปสู่ตู้เย็นสองประตู เพิ่มมากขึ้น หรือตู้เย็นแบบประตูเดียวไซส์เล็ก สีสันไม่สะดุดตา จะถูกทดแทนจากการที่ผู้บริโภคเลือกซื้อไซส์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าของเดิม โดยขนาด 200 ลิตรคาดว่าจะเป็นที่นิยมในตลาดมากที่สุด

โดยในปีหน้ารูปลักษณ์ของตู้เย็นจะมีสีสันออกมาแบบคัลเลอร์ฟูล และมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เป็นลักษณะไลฟ์สไตล์โปรดักส์ นวัตกรรมใหม่ด้านสุขภาพและถนอมอาหาร ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของตลาดตู้เย็น รวมถึงการประหยัดไฟ ประหยัดพลังงาน ในลักษณะต่างๆ จะถูกนำมาสื่อสารมากยิ่งขึ้น โดยงาน Expo และค่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าเร่งโฆษณา และใช้พรีเซนเตอร์ จะมีส่วนช่วยกระตุ้นในการทำให้ตลาดตู้เย็นคึกคักและเติบโตได้ดี

กลุ่มเครื่องซักผ้า เทรนด์การเลือกซื้อเครื่องซักผ้าไซส์ใหญ่จะเติบโตมากขึ้น ขนาดความจุที่คาดว่าจะได้รับความนิยมในปีหน้า อยู่ระหว่าง 8-11 กิโลกรัม โดยผู้บริโภคนิยมซื้อไซส์ใหญ่ถังเดียวและฝาหน้า พร้อมนวัตกรรมการทำงานประสิทธิภาพสูง กับประหยัดไฟยิ่งมากยิ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ ขณะที่ระดับราคาจะลดลงเพิ่มอีก 1 กิโลกรัม โดยจะเห็นว่าบางแบรนด์ จะใส่โมเดลไซส์ใหญ่ ราคาลดลง

เรื่อง Innovation ยังคงเป็นปัจจัยต้นๆ ที่ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อ เรื่องการถนอมเนื้อผ้า เรื่องความสะอาด และกลิ่นอับ ตลาดเครื่องซักผ้าถังเดียว และฝาหน้า ยังทำตลาดได้ดีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนตลาดเครื่องซักผ้าสองถัง ยังเติบโตได้ดีในตลาดต่างจังหวัด เนื่องจากปัญหาเรื่องแรงดันน้ำ ทำให้ประเภทถังเดียว และฝาหน้ายังไม่สามารถเติบโตได้ในตลาดต่างจังหวัด

กลุ่มเครื่องปรับอากาศ ในปีนี้ดูจะซบเซา และการเติบโตลดลงถึง 10% ปัจจัยมาจากอากาศแปรปรวน ฝนตกสลับกับอากาศเย็น ทำให้อากาศมีผลโดยตรงต่อการซื้อเครื่องปรับอากาศ ซึ่งคาดเดายากสำหรับปีหน้า ซึ่งหากสภาพอากาศปรกติ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงฤดูการขายเครื่องปรับอากาศ คาดว่าตลาดอาจจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ประกอบกับแบรนด์ในตลาดเร่งออกโมเดลใหม่ๆ ทั้งดีไซน์ โทนสี ให้เป็นไลฟ์สไตล์โปรดักส์ รวมถึงนวัตกรรมที่ยับยั้งสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ ให้อากาศสดชื่น และประหยัดไฟ ประหยัดพลังงาน ก็จะช่วยกระตุ้นตลาดให้ผู้บริโภคเกิดการซื้อได้ง่ายขึ้น

กลุ่มไมโครเวฟ แนวโน้มปีหน้าไมโครเวฟจะเติบโตเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยที่ทำให้ตลาดเติบโต คือ ราคา และฟังก์ชั่นการทำงานที่เน้นการทำงานแบบหลากหลาย หรือ Multi Function ขนาดไซส์ใหญ่กว่าเดิม อยู่ในรุ่นพรีเมียม โมเดล ซึ่งกำลังเป็นรุ่นที่มีการขยายตัวสูงในปีหน้า ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคจะเลือกซื้อไมโครเวฟเป็นแบบมัลติ และไซส์ใหญ่กว่าเดิม โดยนิยมระบบการทำงานที่ครอบคลุม ทั้งอบ นึ่ง ตุ๋น อุ่น ฯลฯ เพื่อให้การทำงานหลากหลายมากยิ่งขึ้น ในขณะที่รุ่นธรรมดา หรือรุ่นเบสิก ในภาพรวมตลาด ราคาจะลดลงอย่างมาก ระหว่าง 1,500-1,600 บาท ท่ามกลางการทำสงครามราคาของแบรนด์สินค้าในตลาด

จากการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และแนวโน้มของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นการคาดการณ์จากจีเอฟเคที่ประเมินจากตัวเลขในปี 2011 นำมาวิเคราะห์เพื่อชี้ให้เห็นทิศทางตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2012 (ประมาณการ) ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคถึงความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีระบบการทำงานสูงขึ้น ไซส์ใหญ่มากขึ้น และให้นวัตกรรมสูง ในการเลือกซื้อสินค้าจะเป็นแบบ Product Upgrade สำหรับผู้บริโภคยุคหน้า

source : wiseknow

เผยโฆษณาออนไลน์ ส่งผลตัดสินใจซื้อสูง 76%

“นีลเส็น” เผยโฆษณาบนสื่อออนไลน์ส่งผลต่อการบริโภคของคนไทยสูงถึง 76% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และของโลก

นายเดวิด เว็บบ์ ผู้อำนวยการฝ่ายแอดเวอร์ไทซิ่งโซลูชั่น บริษัท นีลเส็น ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า ผลการวิจัยโฆษณาทางสื่อออนไลน์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคชาว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอัตราที่สูงถึง 73% โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเนื้อหาของโฆษณามีความเฉพาะกลุ่ม และมีความเกี่ยวข้องแบรนด์สินค้าโดยผู้บริโภคชาวไทยได้รับอิทธิพลจากโฆษณาทางสื่อออนไลน์สูงถึง 79% สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 58% และหากเนื้อหาของโฆษณานั้นมีบริบททางสังคมที่แสดงให้เห็นว่าแบรนด์สินค้ามี ลักษณะที่คล้ายคลึงกับผู้บริโภคจะยิ่งมีผลต่อการผู้บริโภคถึง 80%

นอกจากนี้ผู้บริโภคยังมีความรู้สึกที่ดีต่อ โฆษณาทางสื่อออนไลน์ที่พวกเขาเคยใช้จ่ายหรือเยี่ยมชมเว็บไซต์สินค้าและแบ รนด์นั้นๆ โดย 74% ของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เหตุผลว่าโฆษณาทางสื่อออนไลน์ช่วยให้ชีวิต ง่ายขึ้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอยู่ในอัตราที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ มีแนวโน้มเช่นเดียวกันกับผู้บริโภคในฟิลิปปินส์และเวียดนามที่มีความเห็นทาง บวกต่อโฆษณาออนไลน์ในอัตราที่สูงถึง 83% และ 82% ตามลำดับ

“ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อและ มีทัศนคติที่ดีต่อโฆษณาทางสื่อออนไลน์ตามที่จุดประสงค์ที่ได้วางไว้ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดีในการสร้างช่องทางการโฆษณาและมีส่วนร่วมระหว่าง แบรนด์และผู้บริโภค ซึ่งจากผลวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คค่อยๆ กลายเป็นช่องทางในการทำกิจกรรมหลัก ซึ่งจะทำให้แบรนด์มีความรวดเร็วในการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมความต้องการของ ผู้บริโภค จากการเชื่อมต่อและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะนำมาสู่แผนกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ” นายเดวิดกล่าว

นอกจากนี้ยังพบว่า 69% ของผู้บริโภคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความชื่นชอบในการติดตามและมีส่วนร่วมกับแบรนด์ที่สูงขึ้น ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 52% โดยฟิลิปปินส์และเวียดนามมีอัตราที่สูงถึง 75% และ 79% ตามลำดับ และอีกแนวโน้มที่สำคัญคือ ผู้บริโภคได้สร้างสื่อขึ้นมาเองจากการโพสต์ความคิดเห็นต่อสินค้านั้นๆ ทางออนไลน์ ถือเป็นเสียงของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ทำให้พฤติการณ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นรูปแบบสื่อที่น่าเชื่อถือที่สุดอย่าง หนึ่งในยุคดิจิทัล โดย 54% คล้อยตามความเห็นบางส่วนหรือทั้งหมดที่โพสต์ทางสื่อออนไลน์ อีกทั้งยังพบว่าแนวโน้มการใช้สื่อสังคมในการหาข้อเสนอพิเศษหรือการลดราคา สินค้ายังมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง